แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอกย้อนหลัง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอกย้อนหลัง แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2557

ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก

สอบในสนามหลวง

วันจันทร์ที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗


๑.     พระมหาบุรุษทรงทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วทรงบรรเทาความเมาในอะไรได้?

เฉลย ทรงบรรเทาความเมาในวัย ความเมาในความไม่มีโรค และความเมาในชีวิต ฯ

๒.    ในการเสด็จออกบรรพชา พระมหาบุรุษทรงได้รับบาตรและจีวรจากใคร ?

เฉลย จากฆฏิการพรหม ฯ

๓.    ขณะที่พระพุทธองค์ประทับเสวยวิมุตติสุข ณ รัตนฆรเจดีย์ ทรงพิจารณาธรรมอะไร?

เฉลย ทรงพิจารณาพระอภิธรรม ฯ

๔.     ยสกุลบุตรฟังธรรมอะไรจากพระพุทธองค์ จนบรรลุเป็นพระอรหันต์? จงบอกมาตามลำดับตั้งแต่ต้น

เฉลย ฟังอนุปุพพีกถาและอริสัจ๔  ๒ ครั้ง คือครั้งที่ ๑ บรรลุเป็นพระโสดาบัน

ครั้งที่ ๒ บรรลุเป็นพระอรหันต์ ฯ

๕.     คำว่า “สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจหมด” เป็นคำพูดของใคร? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร?

เฉลย เป็นคำพูดของทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ฯ

ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั้น ความเห็นอย่างนั้น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเห็นอย่างนั้น ฯ

๖.     การที่พระสารีบุตรมีชื่อเสียงว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวทีนั้น มีหลักฐานอะไรเป็นตัวอย่าง จงแสดงมาสัก ๒ เรื่อง?

เฉลย เรื่องที่ ๑ ท่านได้ฟังคำสอนจากพระอัสสชิโดยย่อจนได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อทราบว่า พระอัสสชิอยู่ทางทิศใด เวลาจะนอนก็หันศีรษะไปทางทิศนั้นด้วยความเคารพ

เรื่องที่ ๒ ท่านระลึกถึงอุปการะที่รับบิณฑบาตจากราธพราหมณ์เพียง ๑ ทัพพี จึงรับเป็นภาระในการจัดการอุปสมบทตามความประสงค์ ฯ

๗.    ธรรมุทเทศ ๔ ข้อ ได้แก่อะไรบ้าง? ใครแสดง? แสดงแก่ใคร?

เฉลย ได้แก่

๑.โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นผู้นำ นำเข้าไปใกล้ ไม่ยั่งยืน

๒.โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน

๓.โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป

๔.โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ

พระรัฐบาลแสดง ฯ

แสดงแก่พระเจ้าโกรัพยะ ฯ

๘.    อภิญญาเทสิตธรรม มีอะไรบ้าง? ทรงแสดงแก่ใคร? ที่ไหน?

เฉลย มีสติปัฏฐาน ๔  สัมมัปปธาน ๔  อิทธิบาท ๔  อินทรีย์ ๕  พละ ๕  โพชฌงค์ ๗  มรรคมีองค์ ๘ ฯ

ทรงแสดงแก่ภิกษุสงฆ์ผู้อาศัยอยู่ในเมืองเวสาลี ฯ

ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ฯ

๙.     ปาวาลเจดีย์ และ มกุฏพันธนเจดีย์ อยู่ที่เมืองอะไร? มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าอย่างไร?

เฉลย ปาวาลเจดีย์อยู่ที่เมืองไพศาลี เป็นที่ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ฯ

มกุฏพันธนเจดีย์อยู่ที่เมืองกุสินารา เป็นที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ฯ

๑๐.          สุภัททะ วุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่างไร? และทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา?

เฉลย ว่า “เราทั้งหลายได้พ้นเสียแล้วด้วยดีจากพระสมณะนั้น ด้วยท่านสั่งสอนว่า ‘สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร’ เราเกรงก็ต้องทำตาม เป็นความลำบากนัก ก็บัดนี้เราจะทำสิ่งใด หรือมิพอใจทำสิ่งใดก็ได้ตามความปรารถณา จะต้องเกรงแต่บัญชาของผู้ใดเล่า” ฯ

เป็นเหตุให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ฯ

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2558


 



ปัญหาวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชันเอก้
สอบในสนามหลวง

วันอาทิตย์ที่๒๙พฤศจิกายนพุทธศักราช๒๕๕๘ 

๑.  พระพุทธองค์ทรงปฏิญาณว่า เป็ นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยเหตุอะไร ?

เฉลย       ทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู ้อริยสัจ๔อย่างแจ่มแจ ้งครบถ ้วนทุกประการ จึงทรง ปฏิญาณว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ

๒.   พุทธจักษุ กับธรรมจักษุ  ต่างกันอย่างไร ?   แต่ละอย่างใครได้เป็ นคนแรก ?

เฉลย พุทธจักษุ คือจักษุของพระพุทธเจ ้า หมายถึงพระปัญญาของพระพุทธองค์ที พิจารณาเห็นอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์ ส่วนธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม ไ โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค ที่เกิดขึ้นแก่ผู ้ฟังธรรม ฯ

พุทธจักษุ เป็นคุณสมบัติเฉพาะพระพุทธเจ ้า พระพุทธองค์จึงทรงได ้เป็นพระ และพระองค์เดียว ส่วนธรรมจักษุพระอัญญาโกณฑัญญะได ้เป็นองค์แรก ฯ

๓.   พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญพระสาวกองค์ใดว่า“ไม่ท าศรัทธาและโภคทรัพย์ของตระกูล ให้เสีย” ? และทรงอุปมาเปรียบเทียบว่าอย่างไร ?
เฉลย       ทรงสรรเสริญพระโมคคัลลานะ ฯ        ว่า“ประหนึ่งแมลงผึ้งอันเที่ยวไปในสวน

ดอกไม ้ ไม่ท าสีและกลิ่นของดอกไม ้ให ้ช ้า  ถือเอาแต่รสบินไป”ฯ ฉะนั้น


๔.   ผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยวิธีรับโอวาท และโดยวิธีรับครุธรรม คือใคร ? และได้รับการ ยกย่องว่าเป็ นเอตทัคคะในทางใด ?

เฉลย โดยวิธีรับโอวาท คือพระมหากัสสปะ และโดยวิธีรับครุธรรม คือพระมหาปชาบด โคตมี ฯ พระมหากัสสปะ ในทางผู ้ทรงธุดงคคุณ ส่วนพระมหาปชาบดี โคตมี ในทาง รัตตัญญู ฯ


  
๕. พระพุทธองค์เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพพุทธมารดาในสวรรค์ชันใด้ ? ด้วยธรรมอะไร ?

และพระพุทธมารดาได้รับผลอะไร ?
เฉลย       ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฯ         ด ้วยพระอภิธรรม ฯ  ได ้บรรลุพระโสดาปัตติผล ฯ

๖. อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีนามเดิมว่าอะไร ? ได้บรรลุคุณวิเศษอะไรในพระพุทธศาสนา ที่ไหน ?

เฉลย       สุทัตตะ ฯ โสดาปัตติผล ฯ       ที่เมืองราชคฤห์ฯ

๗.  พระสาวกที่มักเปล่งอุทานเนืองๆ“สุขหนอว่า สุขหนอ” ดังนี้ คือใคร ? ท่านเปล่งอุทาน เช่นนี้เพราะเหตุไร ?

เฉลย คือพระภัททิยะ ฯ เพราะเมื่อก่อนท่านเป็ นพระเจ ้าแผ่นดิน ต ้องจัดการร ป้ องกันทั้งในวังนอกวัง ทั้งในเมืองนอกเมืจนตลอดทั่วอาณาเขต แม ้มีคนคอย รักษาอย่างนี้แล ้ว ยังต ้องหวาดระแวง สะดุ ้งกลัวอยู่เป็นนิตย์ ครั้นทรงออ บรรลุอรหัตผลแล ้ว แม ้อยู่ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ ้งกลัว ไม ขวนขวาย มีใจปลอดโปร่งเป็นดุจมฤคอยู่ จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ

๘.   พระมหากัสสปะ พระอุบาลี และพระอานนท์ องค์ใดนิพพานก่อนหรือหลังพระพุทธองค์ จงอ้างหลักฐานมาแสดง

เฉลย       หลังพระพุทธองค์ทั้งหมด ฯ หลักฐาน คือพระสาวกทั้ง๓องค์นั้นได ้ร่วมประชุม สงฆ์ท าสังคายนาครั้งที่๑หลังพุทธปรินิพพานได๓เดือน้ ฯ



๙. ค าว่า“วรรณะใด ประพฤติอกุศลกรรมบถเบื้องหน้าแต่มรณะ วรรณะนั้นย่อมเข้าสู่ อบายเสมอกันหมด ไม่มีพิเศษ” ใครกล่าว ? และกล่าวกะใคร ?

 เฉลย

พระมหากัจจายนะ กล่าว ฯ

กล่าวกะพระเจ ้ามธุรราชอวันตีบุตร ฯ


๑๐. ในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ       พระพุทธสรีระส่วนใดยังคงเหลืออยู่ ?
เฉลย       พระอัฐิ พระเกสา พระโลมา พระนขา พระทันตา   เหลืออยู่       นอกนั้นถูกเพลิงไหม ้
หมดสิ้น ฯ


*********

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2559




 

ปัญหาวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชันเอก

สอบในสนามหลวง

วันศุกร์ที๑๘พฤศจิกายน  พุทธศักราช๒๕๕๙

๑.           พุทธานุพุทธประวัติ ให้ความรู้แก่ผู้ศึกษาทางใดบ้าง?จงอธิบายพอได้ใจความ ตอบ ๑. ทางประวัติศาสตร์ เช่นความเป็นไปของบ ้านเมืองในครั งพุทธกาล

และลัทธิธรรมเนียมของประชาชนในสมัยนั น

๒.  ทางจรรยาของพระพุทธเจ้า และจรรยาของเหล่าพระอริยสาวก

๓.  ทางธรรมวินัยที ปรากฏในตํานานและความเป็นมาแห่งศาสนธรรม พร้อมทั งตัวอย่างการบํารุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ฯ

๒.  การที พระพุทธองค์ทรงเลิกการทรมานพระวรกายแล้ว กลับมาเสวยพระกระยาหาร เพราะทรงพิจารณาเห็นอย่างไร?

ตอบ    เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า คนที ไม่บริโภคอาหารจนร่างกายหมดกําลัง ไม่สามารถบําเพ็ญเพียรทางจิตได้ ฯ

๓.           อาสยะ และ ปโยคะ ในสัตตูปการสัมปทา หมายถึงอะไร?

ตอบ                                 อาสยะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยเยือกเย็นด้วยความกรุณา ปรารถนาคุณประโยชน์อยู่ เป็นนิตย์ม้ในบุคคลทีแ ทําผิดต่อพระองค์มีพระเทวทัตเป็นต้นก็ยังทรงกรุ

ปโยคะ หมายถึง ความมีพระหฤทัยมิได้มุ่งหวังต่ออามิส เทศนาสั งสอนสัตว์ด้วยข ้อปฏิบ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ฯ



๔.           ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลีเกิดขึ นแก่พระโกณฑัญญะความว่าอย่างไร ? ในขณะนั น ท่านเป็นพระอริยบุคลชันไหน  ?

ตอบ    ความว่า สิ งใดสิ งหนึ งมีความเกิดขึ นเป็นธรรมดา สิ งนั นทั งหมดมีความดับไปเป็นธ เป็นพระอริยบุคคลชั นพระโสดาบัน ฯ

๕.           พระศาสดาทรงแสดงอนุปุพพีกถาละอริยสัจแ๔ ตามลําดับ แก่บุคคลผู้มีคุณสมบัติเช่นไร? ตอบ แก่ผู ้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี คือ

๑.  เป็นมนุษย์
๒. เป็นคฤหัสถ์
๓. มีอุปนิสัยแก่กล ้า ควรบรรลุโลกุตรคุณ ฯ
๖.            “สิงทั งปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า  ๆ ไม่ชอบใจหมด” เป็ นคําพูดของใคร? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไ?

ตอบ   เป็นคําพูดของทีฆนขะ อัคคิเวสสนโคตร ฯ
ตรัสตอบว่า ถ้าอย่างนั น ความเห็นอย่างนั น ก็ต้องไม่ควรแก่ท่าน ท่านก็ต้องไม่ชอบความเ
อย่างนั นฯ

๗.           พระพุทธโอวาท๓ ข้อ ที ทรงประทานแก่พระมหากัสสปะว่าอย่างไร? จัดเข้าในการอุปสมบทวิธีใด?
ตอบ   พระโอวาท ๓ ข ้อว่าดังนี
๑. กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่าเราจักเข ้าไปตั งความละอายและความยําเกรงไ้
ใ นภิกษุทั งที เป็นผู ้เฒ่าผูหม่้ใทัทั งที งที เป็น เป็นปานกลางอย่างแรงกล ้า
๒. เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ งซึ งประกอบด้วยกุศล เราจักเงี ยโสตฟังธรรม
นั นพิจารณาเนื  อความ

๓.  เราจักไม่ละสติเป็นไปในกาย คือพิจารณากายเป็นอารมณ์ ฯ จัดเข ้าในเอหิภิกขุอุปสมบทวิธี ฯ

๘.           พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราธะว่า“งใดเป็นมาร ิ ท่านจงละความกําหนัดพอใจในสิงนันเสีย” มารในทีนีหมายถึงอะไร ?

ตอบ    หมายถึง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ

  
๙.            อายุสังขาราธิษฐานกับการปลงอายุสังขาร หมายถึงอะไร?พะพุทธเจ้าทรงกระทําที? ไหน

ตอบ                                    อายุสังขาราธิษฐานหมายถึงการที พระพุทธเจ้าทรงตั งพระหฤทัยว่า จักดํารงพระชนม์อยู่แสด สั งสอนมหาชน จนกว่าพุทธบริษัทจะตั งมั น และได้ประกาศพระศาสนา ให้แพร่หลายมั สําเร็จประโยชน์แก่มหาชน นคง

การปลงอายุสังขารหมายถึงการที พระพุทธเจ้าทรงกําหนดวันปรินิพพาน นับแต่วันเพ็ญเดือน๓ ไปอีก๓ เดือน ฯ

อายุสังขาราธิษฐานทรงกระทําที อชปาลนิโครธ ใกล ้สถานที ตรัสรู ้ การปลงอายุสังขารทรงกระทําที ปาวาลเจดีย์ เมืองไพศาลี ฯ

๑๐.    การทําสังคายนาครังแรก  เกิดขึ นหลังจากปรินิพพานล่วงแล้วกีเดือน  ?
ใช้เวลาเท่าไร? ใครทําหน้าที ปุจฉาและวิสัชนา?
ตอบ    ล่วงแล ้ว๓ เดือน ฯ
ใช้เวลา๗ เดือน ฯ
พระมหากัสสปะทําหน้าที ปุจฉา
พระอุบาลีทําหน้าที วิสัชนาพระวินัย
พระอานนท์ทําหน้าที วิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม ฯ



ให้เวลา๓ ชั วโมง

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2560


 



ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่๗พฤศจิกายน พุทธศักราช๒๕๖๐ 

๑.                                  อาสภิวาจาคือวาจาเช่นไร?มีใจความว่าอย่างไร?

ตอบ    คือวาจาที่เปล่งอย่างองอาจเป็นภาษิตของบุรุษพิเศษอาชาไนย ฯ มีใจความว่า เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ประเสริฐแห่งโล

๒.                                พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธาน มีใจความว่าอย่างไร?
ที่ไหน?และได้รับผลอย่างไร?
ตอบ  มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่ลุก
แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูก
ก็ตาม ฯ
ที่ต าบลอุรุเวลาเสนานิคม ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯ
ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ

๓.                                ทางปฏิบัติที่สุด๒อย่าง อันบรรพชิตไม่ควรเสพนั้นคืออะไรบ้าง?
มีอธิบายอย่างไร?
ตอบ  คือ๑. กามสุขัลลิกานุโยค๒.อัตตกิลมถานุโยค ฯ
มีอธิบายดังนี้

กามสุขัลลิกานุโยค คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ของคนอริยะคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ท าผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ป ด้วยประโยชน์ ฯ


๔.                                พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดชฎิล๓พี่น้องพร้อมบริวาร โดยบังเอิญ

หรือโดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน?มีหลักฐานสนับสนุนค าตอบนั้น อย่างไร?
ตอบ  โดยตั้งพระหฤทัยไว้ก่อน ฯ
มีหลักฐานปรากฏว่า ในครั้งที่ทรงส่งพระสาวก๖๐องค์แรก
ไปประกาศพระพุทธศาสนาในที่ต่าง ๆ ทรงมีพระด ารัสว่า
“แม้เราก็จะไปยังต าบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อจะแสดงธรรม” ฯ

๕.                                พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร?
และมีผลอย่างไร?
ตอบ  มีความว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุพระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้น
และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ ฯ
มีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ฯ

๖.                                 พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอาจประโยชน์าน
อย่างไร?

ตอบ เพราะเห็นอ านาจประโยชน์๒อย่างคือ ๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน

๒.          เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง จะได้เป็นทิฏฐานุ แห่งคนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า สาวกของ พระพุทธเจ้าได้ประพฤติอย่างนี้ เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอ านวยสุขแก่เขาเอง ฯ

๗.                                พระพุทธองค์ทรงแสดงสุจริตธรรมโปรดพระเจ้าสุทโธทนะและ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ท าให้ทั้ง๒พระองค์ได้บรรลุอริยผลชั้นไหน?

ตอบ    ท าให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงบรรลุสกทาคามิผล และพระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงบรรลุโสดาปัตติผล ฯ

๘.                                พระสารีบุตรนิพพานที่ไหน?ท่านเลือกสถานที่นั้นเพราะเหตุไร?

ตอบ ที่นาลันทคาม แคว้นมคธ ฯ เพราะตั้งใจจะโปรดนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาของท่าน
ให้พ้นจากมิจฉาทิฏฐิก่อนที่ท่านจะนิพพาน ฯ
๙.                                  พระปุณณมันตานีบุตรเป็นชาวเมืองไหน?ตั้งอยู่ในคุณธรรม
อะไรบ้าง?
ตอบ  เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ฯ
ตั้งอยู่ในคุณธรรม๑๐ประการ คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด
ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่ ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วยศีล
สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ความรู้เห็นในวิมุตติ ฯ

๑๐.     หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสาวกองค์ใดเป็นประธาน ในการท าปฐมสังคายนา?เพราะปรารภเหตุใด?
ตอบ  พระมหากัสสปะ ฯ
เพราะปรารภค ากล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยของพระสุภัททะ
ผู้บวชตอนแก่ ในระหว่างเดินทางมาสักการะพระพุทธสรีระ ฯ






ให้เวลา๓ ชั่วโมง



วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2561


ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ๒๖ที่พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑



๑.                                  ศากยวงศ์สืบเชื้อสายมาจากใคร?ที่ได้นามว่าศากยะ เพราะเหตุไร?

ตอบ สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าโอกกากราช ฯ เพราะเหตุ๒ ประการ คือ

๑.            เพราะได้ชื่อตามชนบทที่ตั้งเมือง
๒. เพราะมีความกล้าหาญ สามารถตั้งเมืองได้เอง ฯ


๒.                                ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพคืออะไรบ้าง?ที่สุดโต่งนั้น มีโทษอย่างไร?
ตอบ คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค

๒.           อัตตกิลมถานุโยค ฯ มีโทษดังนี้ กามสุขัลลิกานุโยคการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกามคือ

เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนาไม่ใช่ของคนอริยะ คือผู้บริสุทธิ์อบด้วยประโยชน์ไม่ประก

อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์ แก่ผู้ประกอบ ไม่ท าผู้ป ให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ฯ

๓.                                ภัพพบุคคล คือบุคคลเช่นใด?ประเภทที่๑ ท่านเปรียบด้วยอะไร?

ตอบ   ภัพพบุคคลคือบุคคลผู้สามารถจะตรัสรู้ธรรมได้ ฯ อุคฆติตัญญู เปรียบด้วยดอกบัวพ้นน้ า เมื่อต้องแสงพระอา ก็จักบานในวันนั้น ฯ

๔.                                พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ที่ไหน? มีใจความย่อว่าอย่างไร?
ตอบ ที่เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ฯ
ใจความย่อว่าไม่ท าบาปทั้งปวง ท ากุศลให้ถึงพร้อม ท าใจให้บร


๕.                               หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปะได้ท าก ที่ส าคัญแก่พระศาสนา?จงอธิบาย

ตอบ   ท่านได้ท ากิจที่ส าคัญ คือเป็นผู้ชักชวนภิกษุสงฆ์ ท กรองพระธรรมวินัย และเป็นประธานในการท าสังคายนานั้น อัน เป็นเหตุให้พระศาสนาตั้งมั่นถาวรสืบมาจนถึงปัจจุบัน ฯ

๖.                                ปัญหาว่า“โลกคือหมู่สัตว์ อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู” ดังนี้ใครเป็นผู้ถาม?ได้รับค าพยากรณ์ว่าอย่างไร?
ตอบ อชิตมาณพเป็นผู้ถาม ฯ
ได้รับการพยากรณ์ว่า โลกคือหมู่สัตว์อันอวิชชาคือความไม่รู้แจ้ง
ปิดบังไว้ จึงหลงอยู่ ในที่มืด ฯ

๗.                                                 พระภัททิยเถระ มักเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอๆ ดังนี้
เพราะเหตุไร?

ตอบ   เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ต้องจัดการรักษาป้ ทั้งในวังนอกวังทั้งในเมืองนอกเมือง จนตลอดทั่วอาณาเขต แม้มีคนคอยรักษาอย่างนี้แล้ว ยังต้องหวาดระแวงสะดุ้งกลัว เป็นนิตย์ ครั้นทรงออกบวชได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แม้อยู่ในที่ไหนๆ ก็ไม่หวาดระแวง ไม่สะดุ้งกลัว ไม่ต้องขวนขวาย มีใจปลอดโปร่ เป็นอิสระแก่ตน จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น ฯ


๘.                                ในครั้งปฐมสังคายนา พระสาวกองค์ใดรับหน้าที่วิสัชนาพระว? ท่านอุปสมบทพร้อมกับใครบ้าง?
ตอบ พระอุบาลีเถระ ฯ
อุปสมบทพร้อมกับเจ้าศากยะ๕พระองค์ คือ ภัททิยะ อนุรุทธะ
อานนท์ ภัคคุกิมพิละ กับเจ้าโกลิยะ๑องค์ คือเทวทัต ฯ

๙.                                  ภิกษุณีผู้มีชื่อต่อไปนี้ได้รับเอตทัคคะในทางไหน? ก. พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี
ข. พระเขมาเถรี

ค.            พระอุบลวัณณาเถรี ง. พระปฏาจาราเถรี จ. พระธัมมทินนาเถรี
ตอบ ก. ได้รับเอตทัคคะในทางรัตตัญญู

ข.           ได้รับเอตทัคคะในทางมีปัญญา ค. ได้รับเอตทัคคะในทางมีฤทธิ์ ง. ได้รับเอตทัคคะในทางทรงวินัย จ. ได้รับเอตทัคคะในทางธรรมกถึก ฯ

๑๐.  สุภัททวุฑฒบรรพชิต กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยว่าอย่าง?
และท าให้เกิดเหตุการณ์อะไรในกาลต่อมา?
ตอบ ว่า“เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระสมณะนั้นบัดนี้ เราพอใจ

จะท าสิ่งใดก็ท ามิพอใจทหรือ าสิ่งใดก็ไม่ต้องท”ฯ า เป็นเหตุให้เกิดสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่๑ฯ

ให้เวลา๓ ชั่วโมง






 

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2562

 






ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง


วันศุกร์ ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒

    

๑.                 พระพุทธองค์ทรงยืนยันพระองค์เองว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ เพราะทรงอาศัยหตุอะไร?


ตอบ     เพราะทรงอาศัยเหตุที่ตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันมีรอบมีอาการ๓ ๑๒อย่าง แจ่มแจ้งครบถ้วนทุกประการ จึงทรงปฏิญาณพระองค์ว่า เป็นสัมมาสัมพุทธะ ฯ


๒.                ข้ออุปมาว่า “ไม้แห้งที่วางไว้บนบก ไกลน้ำ สามารถสีให้เกิ

เกิดขึ้นแก่ใคร?โดยนำไปเปรียบกับอะไร?


ตอบ     แก่พระมหาบุรุษ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ โดยทรงนำไปเปรียบกับสมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า สมณพราหมณ์ บางพวกมีกายหลีกออกจากกาม ใจก็ละความรักใคร่ในกาม สงบดีแล้ว หากพากเพียรพยายามอย่างถูกต้องย่อมสามารถ ตรัสรู้ธรรมได้ ฯ

๓.                พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจาตุรงคมหาปธานมีใจความว่า อย่างไร? และได้รับผลอย่างไร?

ตอบ     มีใจความว่า หากยังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจักไม่

แม้เนื้อและเลือดจะแห้งเหือดไป เหลือแต่หนัง เอ็น และกร

ก็ตามที ฯ

ได้รับผลคือ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณสมดังพระหฤทัย ฯ


๔.                อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตตปริยายสูตรวามโดยย่อมีใจค ว่าอย่างไร?


ตอบ     อนัตตลักขณสูตรมีใจความโดยย่อว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณซึ่งรวมเรียกว่าขันธ์ ๕ นี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน อาทิตตปริยายสูตรมีใจความโดยย่อว่า อายตนะภายในายตนะ ภายนอก วิญญาณ สัมผัส และเวทนาที่เกิดแต่สัมผัส ของร้อน ร้อนเพราะไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ และร้อนเพราะ ความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพันเจ็บกาย เสียใจ คับใจ ฯ


๕.                พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแร?

ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐานณที่นั้น?

ตอบ     ที่กรุงราชคฤห์ ฯ


เพราะทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง แ เจ้าลัทธิมากถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้ล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดา เจ้าลัทธิต่าง ๆ นั้นคนนับถือมากล้วนมีด้วยเหตุนี้จึงทรงเลือกเมือง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ


๖.                 พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์ อย่างไร?


ตอบ        เพราะเห็นอำนาจประโยชน์ ๒ อย่างคือ ๑. การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน


๒.  เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง เป็นแบบจะได้ถือย่าง แห่งการปฏิบัติตามปฏิปทาของท่าน ฯ


๗.               พระพุทธพจน์ว่า “ภทฺเทกรตฺโต”ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ หมายถ การปฏิบัติย่างไร?พะสาวกรูปใดสามารถอธิบายพระพุทธพจน์นี้ ถูกต้องตามพุทธประสงค์?

ตอบ     หมายถึง เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคื

อยู่ด้วยความไม่ประมาท ฯ

พระมหากัจจายนะ ฯ


๘.                “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร”ใครเป็นผู้ถาม ใครเป็นผู้ตอบ? และตอบว่าอย่างไร?


ตอบ     พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ ฯ ตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความดับไม่มีเชื้อ ฯ


๙.                พระสาวกสาวิกาต่อไปนี้ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใด?

๑.   พระมหาโมคคัลลานะ ๒. พระมหากัสสปะ



๓. พระอุบาลี ๔. พระนางมหาปชาบดีโคตมี ๕. พระนางเขมา


ตอบ         ๑. พระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์


๒.  พระมหากัสสปะ เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ ๓. พระอุบาลี เป็นผู้เลิศในทางทรงพระวินัย


๔. พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นผู้เลิศในทางผู้รัตตัญญู ๕. พระนางเขมา เป็นผู้เลิศในทางปัญญา ฯ


๑๐.      ถูปารหบุคคล ได้แก่บุคคลเช่นไร?มีใครบ้าง?


ตอบ     ได้แก่ บุคคลผู้ควรแก่การบรรจฐิธาตุไว้ในสถูปเพื่อสักการบูชาอั ฯ มี ๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า


๒.  พระปัจเจกพุทธเจ้า ๓. พระอรหันตสาวก ๔. พระเจ้าจักรพรรดิราช ฯ


ให้เวลา ๓ ชั่วโมง